วัณโรค คืออะไร รักษายังไง ภัยร้ายใกล้ตัวที่คุกคามคุณภาพชีวิต
07 พฤศจิกายน 2566
วัณโรคเป็นโรคที่สามารถแพร่กระจายได้ง่ายนับว่าเป็นกลุ่มโรคที่อันตรายร้ายแรงชนิดหนึ่งที่คร่าชีวิตมนุษย์ทั่วโลกเป็นจำนวนมากเพราะเมื่อติดเชื้อจะมีผลต่อปอด หรือที่เรียกว่า "วัณโรคปอด" ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญทางของสาธารณสุขประเทศไทย องค์การอนามัยโลกจัดให้เป็น 1 ใน 14 ประเทศของโลกที่มีปัญหาภาระวัณโรค
วัณโรคเกิดได้ในทุกอวัยวะของร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดที่ปอดพบร้อยละ 80 ซึ่งโดยปกติคนไข้จะมาพบแพทย์ด้วยอาการไอเรื้อรัง และยังขาดความเข้าใจในเรื่องวัณโรค ซึ่งโรคนี้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น ลองมาศึกษาอาการของโรคเพื่อไว้สังเกตและป้องกันตัวเองกันหน่อย
วัณโรค คืออะไร
วัณโรคเป็นกลุ่มโรคติดเชื้อที่อันตรายร้ายแรงที่ติดต่อจากคนสู่คนผ่านทางอากาศ เกิดจากการติดเชื้อไมโครแบคทีเรียมทูเบอร์คูโลซิส (Mycobacterium Tuberculosis) สามารถแพร่กระจายได้โดยผ่านทางการไอ จาม การพูด และการหายใจ ที่ออกมาจากผู้ป่วยที่มีเชื้อวัณโรคในปอด กระจายอยู่ในอากาศและตกลงสู่พื้น โดยผู้ที่สูดหายใจรับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อและป่วยเป็นวัณโรคได้
นอกจากการติดเชื้อที่ปอดแล้ว เชื้ออาจจะกระจายไปส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ได้แก่ เยื้อหุ้มปอด ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อต่อ ช่องท้อง ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาท เป็นต้น
สังเกตอาการเตือนวัณโรค
เมื่อเริ่มป่วยในระยะแรกมักจะมีอาการไอแห้ง หลังจากนั้นจะเริ่มไอแบบมีเสมหะ เมื่อเข้านอนก็จะยิ่งมีอาการไอหนักมาก ทั้งช่วงเวลาหลังจากตื่นนอนตอนเช้าและในหลังอาหารด้วย
- อาการไอเรื้อรังจะคงอยู่เป็นเวลานานกว่า 2 สัปดาห์ บางรายที่ไอมาก ๆ จะมีอาการหอบด้วยหรือไอเป็นเลือดก้อนแดง ๆ หรือเลือดสีดำปนออกมาพร้อมกัน
- มีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ
- ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง ผอมลง
- ในรายที่เป็นเด็กอาการจะรุนแรงหนักกว่าผู้ใหญ่เพราะภูมิคุ้มกันโรคต่ำกว่า
ถ้ามีอาการอย่างน้อย 2 อาการขึ้นไป รีบตรวจหาวัณโรคที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น คนไข้ที่ได้รับเคมีบำบัด หรือ ผู้ป่วยเอดส์
- ผู้ติดสารเสพติด หรือ แอลกอฮอล์
- คนจรจัด หรือ คนขาดสารอาหาร
- คนที่อาศัยอยู่ในที่แออัด หรือ สถานที่ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี
- ผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วย เช่น แพทย์ พยาบาล หรือ ญาติที่ดูแล
- เด็กทารก หรือ ผู้สูงอายุ
- เดินทางหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดวัณโรคสูง
ป้องกันไว้ก่อน ถ้าไม่อยากเป็นวัณโรค
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่อไปในสถานที่สาธารณะ และไม่ใช้หน้ากากอนามัยซ้ำ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค หากตนเองมีภูมิต้านทานต่ำ
- ฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค
- ตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำทุกปี โดยควรตรวจเอกซเรย์ปอด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- รีบไปพบแพทย์ทันที หากสงสัยว่ามีอาการเสี่ยง
การรักษาวัณโรค
ปัจจุบันวัณโรคสามารถรักษาให้หายได้ ใช้เวลาการรักษาอย่างน้อย 6 เดือน ขึ้นกับความรุนแรงของตัวโรค แต่มีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำได้เช่นกันหากผู้ป่วยรับประทานยาไม่ครบตามกำหนด
- ผู้ป่วยวัณโรคมีระยะเวลาในการรักษาทั้งหมดอย่างน้อย 6 เดือน โดย 2 เดือนแรกต้องรับประทานยา 4 ชนิด เช่น isoniazid, rifampicin, pyrazinamide, ethambutol
- เมื่อรักษาครบ 2 เดือนแพทย์จะตรวจเสมหะหรือเอกซเรย์ปอดซ้ำ หากมีการตอบสนองที่ดีแพทย์จะลดยาเหลือ 2 ชนิด และให้การรักษาต่อไปอีก 4 เดือน
- และจะต้องดูแลให้พักผ่อนและให้อาหารที่มีโปรตีนสูงและมีไวตามิน เพื่อช่วยเพิ่มความต้านทานโรค
วัณโรคเป็นโรคที่มีอาการทุกข์ทรมานจากการไอเรื้อรังที่คุกคามคุณภาพชีวิตและสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ง่าย ยิ่งถ้าเป็นผู้สูงอายุ อาจจะเสี่ยงเป็นโรคอื่นๆ เพิ่มเติมอีกเช่น โรคไขมันในเลือดสูง ดังนั้น เมื่อพบว่าตนเองป่วยเป็นวัณโรคหรือเสี่ยงวัณโรค ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงควรตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปีด้วยการเอกซเรย์ปอดโดยไม่ต้องรอให้มีอาการเพื่อวางแผนการรักษาอย่างทันท่วงที
บทความโดย : พญ.นิชฌา เหลืองด่านสกุล อายุรแพทย์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลพิษณุเวช
ข้อมูล ณ ตุลาคม 2566