โรคอ้วน เป็นแบบไหน เป็นแล้วเสี่ยงหลายโรค เราเป็นโรคอ้วนหรือเปล่า?
13 มีนาคม 2567
ปัจจุบันคนไทยป่วยเป็น “โรคอ้วน” เพิ่มมากขึ้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงาน ที่นั่งเกือบตลอดทั้งวันและไม่ได้ออกกำลัง หลายคนอาจจะมองว่าการที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นจนเรียกว่า “อ้วน” คือเรื่องปกติส่งผลแค่บุคลิคภายนอกเท่านั้น แต่ทราบหรือไม่? ว่าโรคอ้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคร้ายแรงต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน และโรคอื่น ๆ อีกมากมาย แล้วน้ำหนักเยอะแค่ไหนจึงจะเรียกว่าเป็นโรคอ้วน บทความนี้จะมาแบ่งกันข้อมูลของโรคอ้วนให้ทราบกัน
โรคอ้วนคืออะไร?
โรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน ( Overweight ) คือ โรคเรื้อรังที่มีไขมันมากเกินกว่าที่ร่างกายจะเผาผลาญนำมาซึ่งสาเหตุของโรคเรื้อรังต่างๆ ซึ่งเป็นโรคไม่ติดต่อ
โรคอ้วนที่ผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่ 2 ประเภท คือ
- อ้วนลงพุง เป็นการสะสมของไขมันบริเวณช่องท้องและอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต ลำไส้ กระเพาะอาหารและอื่นๆ
- อ้วนทั้งตัว คือการมีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติ โดยมิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งโดยเฉพาะ
ไขข้อสงสัย แบบไหนเรียกอ้วน?
วิธีวัดไขมันมีหลายรูปแบบ โดยที่นิยมกันคือ การวัดจากดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index – BMI และการตรวจวัดรอบเอว ซึ่งวัดได้จากการนำค่าน้ำหนักหน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตรยกกำลังสอง
โดยทั่วไปแล้ว ควรมีค่า BMI อยู่ที่ระหว่าง 18.5-22.9 kg/m2 หากมากหรือน้อยกว่านี้ จะเกิดภาวะทุพโภชนาการและโรคต่างๆ
ค่า BMI < 18.5 – 22.9 kg/m² เรียกว่า “ปกติ”
ค่า BMI 23.0 – 24.9 kg/m² เรียกว่า “น้ำหนักเกิน”
ค่า BMI > 25 kg/m² เรียกว่า “โรคอ้วน”
โรคอ้วนเกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนจาก ปัจจัยภายนอก ซึ่งมักเกิดจากพฤตจิกรรมของเราเอง ได้แก่
- รับประทานอาหารไม่เป็นเวลาหรือรับประทานอาหารนอกเวลา
- รับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง ใยอาหารน้อย เนื้อติดมัน ไขมัน แป้ง น้ำและขนมหวาน
- ทำกิจกรรมที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น นั่งทำงานเป็นเวลานาน นอนเล่นมือถือเป็นเวลานาน
- ไม่ออกกำลังกาย
- นอนหลับไม่เพียงพอ
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนจาก ปัจจัยภายใน ได้แก่
- ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์
- สภาพจิตใจ อารมณ์ ภาวะเครียด
- กรรมพันธุ์
- โรคประจำตัวที่มีก่อนจะเป็นโรคอ้วน เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง
- การรับประทานยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคซึมเศร้า ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
- อายุ (อายุมากขึ้นจะมีการใช้พลังงานน้อยลงได้จากหลายสาเหตุ เช่น ข้อเข่าเสื่อม ทำให้เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อยลง เกิดโรคอ้วนได้ง่ายขึ้น)
โรคอ้วนเสี่ยงหลายโรค
โรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจมาพร้อมกับโรคอ้วน บางโรคอาจจะแสดงอาการให้เห็นชัดเจน เช่น เหนื่อยง่าย ร้อนง่าย เหงื่อออกง่าย หายใจติดขัด นอนกรน ทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ยากลำบาก แต่ในขณะที่บางโรคก็อาจไม่แสดงอาการภายนอกแต่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมาเช่น
- โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคไขมันในเลือดสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคไขมันเกาะตับ
- โรคหัวใจ
- โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
- โรคมะเร็งต่างๆ
- โรคหยุดหายใจขณะหลับ
- ปัญหาทางระบบทางเดินหายใจ
- ภาวะมีบุตรยาก
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ปวดข้อ ข้อเสื่อมก่อนวัย
- โรคผิวหนัง เช่น สิว ขนดก ผิวหนังติดเชื้อ มีกลิ่นตัว เป็นต้น
ป้องกันโรคอ้วนได้ง่ายๆ แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที เพราะจะช่วยลดการสะสมของพลังงานในร่างกายได้เป็นอย่างดี
- ควรจำกัดปริมาณการทานอาหารในแต่ละครั้ง เพื่อเป็นการควบคุมอาหารให้แก่ร่างกายได้มีน้ำหนักที่อยู่ในระดับปกติ
- ลดอาหารที่มีรสเค็มจัด หวานจัด
- ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารประเภท “ทอด หวาน มัน เค็ม” แล้วปรับเปลี่ยนไปกินอาหารประเภท “ต้ม ปิ้ง นึ่ง ย่าง” ให้มากขึ้นแทน
- ดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หมั่นจิบน้ำเรื่อย ๆ กระจายไปในแต่ละช่วงเวลาอย่างเหมาะสม
- ลด ละ เลิก เครื่องดื่มที่มีปริมาณน้ำตาลหรือแอลกอฮอล์สูง เช่น น้ำอัดลม (1 กระป๋องมีน้ำตาล 7 – 12 ช้อนชา) และเครื่องดื่มชาเขียว (1 ขวดมีน้ำตาล 8 – 14 ช้อนชา)
- นอนหลับพักผ่อนในช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ 22.00 – 06.00 น. โดยหลับสนิทติดต่อกันนาน เพราะการนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ จะทำให้ระบบเผาผลาญของร่างกายเสียสมดุล
- เมื่อเริ่มรู้สึกว่าน้ำหนักเพิ่มมากจนเกินไป ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคต่อไป
โรคอ้วนเป็นที่มาของโรคต่างๆ บางโรคส่งผลเสียต่อร่างกายจนเเป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้เลย เพราะฉะนั้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการตรวจสุขภาพเป็นประจำ เช็คค่าไขมันในเลือด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง จะทำให้ลดความเสี่ยงก่อนเป็นโรคอ้วนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่สำหรับผู้มีปัญหาน้ำหนักเพิ่มขึ้นสูงมากๆ และทำทุกวิถีทางแล้วยังไม่สามารถลดน้ำหนักได้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม
บทความโดย : พญ. อันธิกา จันทร์ลือชัย อายุรแพทย์ สาขา อายุรศาสตร์โรคไต .รพ.พริ้นซ์ สกลนคร
ข้อมูล ณ ตุลาคม 2566