Header

mark

โรคต่อมลูกหมากโต คืออะไร อาการและการรักษาเป็นยังไง

12 มีนาคม 2567

avatar เขียนโดย : นายแพทย์ทรงวุฒิ ประสพสุข แพทย์ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ

blog

เมื่ออายุเพิ่มขึ้นร่างกายก็เสื่อมขึ้นตามวัย เรามักพบการเปลี่ยนแปลงของทางร่างกายและฮอร์โมน โดยเฉพาะปัญหากับอวัยวะที่มีความสำคัญอย่าง “ต่อมลูกหมากโต” ที่ส่งผลให้มีอาการปัสสาวะลำบากขึ้น ปัสสาวะไม่สุด ไม่คล่อง ต้องเบ่ง รวมถึงต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ซึ่งเป็นอาการที่ผู้ชายส่วนใหญ่มักต้องเจอเมื่อมีอายุมากขึ้น แต่โรคต่อมลูกหมากโตมีทั้งอาการหนักและเบาแตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งเราสามารถรับมือกับมันได้

โรคต่อมลูกหมากโต คืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร ?

โรคต่อมลูกหมากโต หรือ BPH (Benign Prostate Hyperplasia)  คือ ภาวะที่ต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่มากขึ้นจากการเพิ่มจำนวนเซลล์และเนื้อเยื่อของตัวต่อมลูกหมากซึ่งเป็นกลไกที่เกิดขึ้นตามอายุโรคต่อมลูกหมากโตเป็นโรคที่พบได้เป็นปกติในผู้ชาย และการเกิดขึ้นมักจะสัมพันธ์กับอายุ และฮอร์โมนเพศชายมักพบในผู้ชายอายุ 45 ปีขึ้นไป และโดยเฉพาะในผู้ชายสูงวัยอายุ 70 ปีขึ้นไปพบมากถึง 80%

โดยอัตราการโตและลักษณะรูปร่างของต่อมลูกหมากก็จะแตกต่างกันในแต่ละคน ประกอบกับอาการปัสสาวะผิดปกติที่พบนั่นก็จะแตกต่างกันไปตามขนาดของต่อมลูกหมากที่โตขึ้นและรูปร่างของต่อมที่โตซึ่งอาการปัสสาวะผิดปกตินั้นสามารถเกิดได้ทั้งจากการกดเบียด อุดกั้น หรือจากระบบประสาทบริเวณกล้ามเนื้อหูรูดกระเพาะปัสสาวะที่โดนกระตุ้นจากตัวต่อมลูกหมากทำให้มีการหดเกร็งหรือระคายเคืองเส้นประสาทได้ง่ายกว่าปกติ

โรคต่อมลูกหมากโต อาการเป็นอย่างไร

โรคต่อมลูกหมากโตมีอาการอย่างไร ?

อาการที่เกิดจากการกดเบียดของท่อปัสสาวะ ได้แก่

  • ปัสสาวะลำเล็กลง ปัสสาวะไม่พุ่งเหมือนแต่ก่อน ต้องรอนานกว่าจะปัสสาวะออกมาได้ หลังจากปัสสาวะสุดแล้วยังมีปัสสาวะหยดตามมาอีก 
  • มีความรู้สึกว่าปัสสาวะยังไม่หมดทั้ง ๆ ที่ปัสสาวะหยุดไหลแล้ว อาจจะรุนแรงถึงขั้นปัสสาวะไม่ออกได้ถึงแม้จะปวดปัสสาวะมากก็ตาม

นอกจากอาการที่กล่าวมาแล้ว ยังมีอาการระคายเคืองที่เป็นผลจากการตอบสนองของกล้ามเนื้อหูรูดและกระเพาะปัสสาวะจากต่อมลูกหมากที่โตขึ้น ซึ่งได้แก่ ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะได้ไม่นาน ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืน และกลั้นปัสสาวะได้ไม่อยู่รวมถึงผู้ป่วยบางคนอาจมีปัสสาวะเป็นเลือดได้จากการต้องเบ่งปัสสาวะเป็นระยะเวลานาน 

นอกจากนั้นอาจพบปัญหาแทรกซ้อนอย่างอื่นได้อีก เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะโดยจะพบอาการได้แก่ ปัสสาวะขุ่น เข้มขึ้น ปัสสาวะแสบขัดมีตะกอน กลิ่นแรงขึ้น มีไข้ หนาวสั่น ถ้าการอุดกั้นของปัสสาวะนาน ๆ บางครั้งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังได้ด้วย

การตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยต่อมลูกหมากโต

การตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยโรคต่อมลูกหมากโต

  1. การซักประวัติ หรือการให้ผู้ป่วยทำแบบสอบถาม (IPSS) เพื่อประเมินความรุนแรงของความผิดปรกติของการถ่ายปัสสาวะ
  2. การตรวจทวารหนักเพื่อคลำต่อมลูกหมาก เนื่องจากต่อมลูกหมากอยู่ภายในร่างกาย ดังนั้น การใช้นิ้วคลำจะเป็นวิธีการตรวจร่างกายที่ง่ายที่สุดในการประเมินถึงลักษณะทางภายกายภาพของต่อมลูกหมาก และที่สำคัญยังสามารถบอกได้ถึงความผิดปรกติที่สงสัยมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย
  3. การตรวจปัสสาวะเป็นขั้นตอนที่สำคัญ และจำเป็นต้องทำในผู้ป่วยทุกราย เพื่อดูว่ามีการอักเสบติดเชื้อ     มีเม็ดเลือดผิดปรกติหรือไม่ และยังเป็นการบอกถึงความผิดปรกติของร่างกายในระบบอื่นได้
  4. การตรวจเลือดเพื่อหาค่า PSA (prostatic specific antigen) เพื่อคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายอายุมากกว่า 45 ปี
  5. การตรวจอัลตราซาวน์ ส่วนมากมักใช้เมื่อมีความผิดปรกติในการตรวจปัสสาวะ
  6. การตรวจอัตราความแรงในการไหลของปัสสาวะ (Uroflowmetry) ร่วมกับการตรวจปัสสาวะที่เหลือค้างหลังจากปัสสาวะหมดแล้ว มีประโยชน์ในการประเมินความรุนแรงและติดตามการตอบสนองต่อการรักษา
  7. การส่องกล้องทางเดินปัสสาวะ (Cystoscopy) เพื่อหาสาเหตุความผิดปกติที่พบภายในท่อปัสสาวะหรือกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงใช้ในกรณีประเมิณต่อมลูกหมากก่อนรับการผ่าตัด
  8. การตรวจอื่น ๆ เช่น การตรวจยูโรพลศาสตร์ (Urodynamics study) จะทำเมื่อมีข้อบ่งชี้ที่ชัดเจน

การรักษาต่อมลูกหมากโต แบ่งเป็น 3 วิธี

การรักษาโรคต่อมลูกหมากโต

สำหรับโรคต่อมลูกหมากโตนั้น ส่วนมากมักจะมีผลต่อคุณภาพชีวิตและต่อสุขภาพโดยรวม ดังนั้น การรักษาจะมุ่งเน้นที่จะให้อาการขับถ่ายปัสสาวะของผู้ป่วยดีขึ้น โดยมีวิธีการรักษาแบ่งเป็น 3 วิธี ดังนี้

วิธีแรก: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

วิธีการรักษาเริ่มแรกแพทย์จะให้ปรับพฤติกรรมเสียก่อน เช่น ในรายที่เป็นไม่มาก อาจให้ลดการดื่มน้ำลงในช่วงเวลากลางคืนปัสสาวะก่อนนอนเป็นประจำลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ถ้าอาการดีขึ้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยา แต่หากปรับพฤติกรรมแล้วอาการไม่ดีขึ้นควรต้องรักษาด้วยยาต่อไป

วิธีที่สอง: การใช้ยา

สำหรับการรักษาด้วยยา เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อเรียบบริเวณหูรูดกระเพาะปัสสาวะและในต่อมลูกหมาก (Alpha-Blockers) ให้มีลักษณะอ่อนตัวลง ปัสสาวะได้คล่องขึ้น รู้สึกระคายเคืองน้อยลง แต่ถ้าในรายที่มีอาการปัสสาวะลำบากมากขึ้นจนมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตประจำวันแม้ได้รับการรักษาด้วยยาแล้ว หรือในรายที่มีอาการรุนแรงแช่นปัสสาวะไม่ออกหรือปัสสาวะเป็นเลือด ควรได้รับการส่องกล้องเพื่อประเมิณหรือพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัดต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นที่อาจตามมาได้ เช่นการติดเชื้อ หรือภาวะไตเสื่อม เป็นต้น

วิธีที่สาม: การผ่าตัด

การรักษาด้วยการผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง เพื่อขูดตัดเอาชิ้นเนื้อส่วนที่เกินออกมาจากต่อมลูกหมาก (Transurethral Resection of the Prostate-TURP) เป็นการผ่าตัดที่นำเอาบางส่วนของต่อมลูกหมากที่ขวาง ท่อทางเดินปัสสาวะออกมา โดยใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะจากแพทย์จะใช้วิธีตัดหรือขูดต่อมลูกหมากออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ด้วยเครื่องมือแบบขดลวดสำหรับตัดและจี้ด้วยไฟฟ้าที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อตัดและหยุดเลือดออกไปได้พร้อมกันอีกทั้งในปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ใช้ในการรักษา    ต่อมลูกหมากเพิ่มขึ้น เช่น การใช้เลเซอร์ตัดเนื้อเยื่อต่อมลูกหมาก (Holmium laser enucleation of the prostate ; HoLEP) หรือ การใช้ไอน้ำรักษาต่อมลูกหมากโต (Water Vapor Therapy) เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นเมื่อละเลยการรักษาที่ถูกต้อง

  • ปัสสาวะไม่ออกและมีอาการปวดท้องน้อยอย่างรุนแรง
  • ปัสสาวะเป็นเลือดเนื่องจากต่อมลูกหมากบวม
  • มีนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
  • กระเพาะปัสสาวะเสื่อมหรือพิการ ทำให้ไม่สามารถขับปัสสาวะออกได้หมด ส่งผลให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบและติดเชื้อ
  • การทำงานของไตเสื่อมลง และไตวายในระยะยาว

เรื่องของต่อมลูกหมากเป็นเรื่องที่คุณผู้ชายไม่ควรมองข้ามหมั่นสังเกตุลักษณะการปัสสาวะและมาพบแพทย์เฉพาะทางแต่เนิ่น ๆ รวมไปถึงปัญหาสุขภาพอื่นๆด้วย เช่น ผู้ชายอาจะเสี่ยงมะเร็งตับ ดังนั้นเมื่อเริ่มมีอาการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและเพื่อการรักษาได้อย่างทันท่วงทีมีการวางแผนการรักษาตามวิธีทีเหมาะสม เพื่อคุณภาพของชีวิตที่ดีขึ้น 

บทความโดย : นายแพทย์ทรงวุฒิ ประสพสุข แพทย์ศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ  โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ

ข้อมูล ณ ตุลาคม 2566